วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553

ความรักของแม่

แม่ เป็นภาระให้แก่ลูกทุกคนมาตั้งแต่เกิด
นั่นเป็นความจริงที่เราไม่อาจปฏิเสธได้
ก็ลองคิดดูสิ ตั้งแต่เราเกิดมา
ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเลย
อยู่ดีๆ ผู้หญิงคนนี้ก็มาโอบอุ้ม
ถูกเนื้อต้องตัวเรา


มิวายที่เราจะแหกปากร้องไห้ขับไล่ไสส่งยายผู้หญิงคนนี้ขนาดไหน
เธอก็ยังพยายามปลอบโยน เห่กล่อมเราอยู่นั่นแหละ
เป็นภาระให้เราต้องจำใจเงียบ
ยอมนอนดูดนมเธออยู่จั่บๆๆ


พอเราเริ่มเตาะแตะ
ตั้งไข่จะเดินไปไหนต่อไหนมั่ง
คุณเธอก็ยังคอยเรียกหาเราอยู่นั่นแหละ
มานี่มาลูก มานี่มา อีกนิดเดียวลูก อีกนิดเดียว
อีกก้าวเดียว ไม่รู้จะเรียกทำไมนักหนา
ไอ้เราก็เดินล้มลุกคลุกคลานอยู่ เห็นมั้ย
เป็นภาระที่เราต้องเดินไปให้เธอกอดอีก
โตขึ้นมาอีกนิด เราเริ่มกินอาหารได้
หล่อนก็เอาอะไรนักหนาไม่รู้ เละๆ เทะๆ มาบดให้เรากิน
ไอ้เราจะไม่กินก็ไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะน้อยใจ ก็เอาวะ เอาซะหน่อย
เคี้ยวไปเเจ่บๆ อย่างนั้นแหละ
แม่คุณก็ยิ้มปลื้ม คงนึกว่าเราอร่อยตายล่ะมั้งนั่นน่ะ
กล้วยบดนะจ๊ะเธอจ๋า
ในปากฉันตอนนี้น่ะ ถ้าคิดว่ามันอร่อยขนาดนั้น ทำไมไม่ลองทานเองดูมั่งล่ะ
ทีนี้พอเราเริ่มพูดจารู้เรื่องขึ้นมาหน่อย
คราวนี้ยังไงล่ะ
ผู้หญิงคนนี้กลับขับไล่ไสส่งให้เราไปโรงเรียนซะอีก
ไม่ไปก็ไม่ได้ด้วยนะ
บางทีมีตีเราเข้าให้อีก
ภาษาอะไรนักก็ไม่รู้เอามาให้เราหัดอ่านหัดเรียน ใช่มั้ย
ลองคิดดูนะ สัปดาห์หนึ่งต้องไปโรงเรียนตั้งห้าวันน่ะ
มันภาระหนักหนาแก่เราแค่ไหน
แต่พอถึงเวลาเราจะดูทีวี
ดูหนังการ์ตูน นอนดึกขึ้นมาสักหน่อย
ลองนึกย้อนไปสิ
ใครกันเคี่ยวเข็ญให้ เราไปนอนด้วย
ตัวเองง่วงจะนอนคนเดียวก็ไม่ได้นะ
ต้องบังคับให้เราไปนอนเป็นเพื่อนด้วย ใช่มั้ย
ที่พูดนี่ไม่ใช่ลำเลิกหรอกนะ เพียงแค่อยากให้เห็นใจกันบ้างเท่านั้น


วันเวลาผ่านไป เราโตขึ้น แต่แม่ก็ยังไม่ยอมโตตามเราสักที ลูกอยากจะทำผมทำเผ้า แต่งเนื้อเเต่งตัวให้มันดูอินเทรนด์ ดูทันสมัย ใครกันเป็นตัวสกัดดาวรุ่ง พูดแล้วขนลุก
ผู้หญิงคนนี้มีพัฒนาการไม่คืบหน้าไปไหนเลยว่ามั้ย

พอเราสำเร็จจบการศึกษาเเล้วเป็นยังไง...เธอร้องไห้ครับ
เชื่อเถอะว่าเธอต้องร้องไห้ ถ้าเราไม่เห็นก็แปลว่าเธอต้องแอบร้องไห้
มีอย่างที่ไหน เราคร่ำเคร่งร่ำเรียนมาแทบตาย
แล้วตัวเองแท้ๆ ที่เป็นคนเริ่มเรื่อง
พอเราเรียบจบแทนที่จะดีใจดันมาร้องไห้
มีอย่างที่ไหน


ดีนะ ว่าเราเข้าใจ คู่มือการเลี้ยงแม่ ก็เลยทำใจได้
ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้ขอไปฉลองการ
สำเร็จการศึกษากับพวกเพื่อนๆ ที่นอกบ้านก่อน
ก็แหมเรียนจบทั้งที จะมาให้นั่งดูผู้หญิงแก่ๆ นั่งร้องไห้ทำไมล่ะ
ใช่มั้ย


เป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้วนี่ คราวนี้ใครๆ ก็ต้องอยากมีแฟน
คนโน้นก็ไม่ดี คนนี้ก็เรื่องมาก ผมยาวไปมั่งล่ะ
ดูไม่มีความรับผิดชอบมั่งล่ะ...แม่
แม่จะไปรู้อะไร
แม่เคยคบกับเขาเหรอ


ไม่ใช่แค่เรื่องคู่ครองเท่านั้นนะ
แม่เขายังอยากรู้ไปจนถึงเรื่องอาชีพการงานด้วยว่าเราจะไปทำอะไร
อยากเป็นอะไร


แม่ครับ แม่ไม่รู้สักเรื่องจะได้มั้ย
พวกเราจะเป็นอะไรมันก็เรื่องของพวกเรา
อนาคตของเรา ขอให้เราได้ตัดสินมันเอง
แต่เรารับรองกับแม่ได้อย่างหนึ่งว่า
เราจะไม่เป็นเหมือนแม่หรอก... เชย


นับจากบรรทัดแรก จนมาถึงบรรทัดนี้
เวลาก็ผ่านไปหลายปีแล้ว
สมควรที่พวกเราจะแต่งงานมีครอบครัวเป็นของตนเองสักที
ว่าแล้วเราก็ย้ายออกจากบ้านแม่
มายืนด้วยลำแข้งของตัวเอง อย่างที่แม่เคยพูดไง
แล้วทำไมต้องมาทำตาละห้อยด้วยล่ะ
วันที่เราย้ายออกมาน่ะ มันก็ไม่ได้ใกล้
มันก็ไม่ได้ไกลหรอกนะ
ไอ้ที่ย้ายออกมาน่ะ แต่เวลามันรัดตัวจริงๆ
ใช้โทร.คุยกันก็ได้นะแม่นะ


ถึงวันที่เรามีลูก
แม่ยังพยายามอยากมาทำตัวเป็นภาระกับลูกเราด้วย
เราบอกแม่ว่าไม่ต้องมายุ่งหรอก
เราดูแลลูกของเราได้
เด็กสมัยนี้มันไม่เหมือนกับสมัยแม่แล้วล่ะ
แม่อายุเกือบหกสิบปีแล้ว โทร.มาไอแค่กๆ
บอกไม่ค่อยสบาย เราบอกแม่ว่าอย่าคิดมาก
ในใจเรารู้อยู่แล้วว่าแม่พยายามเรียกร้องความสนใจ
นั่นเป็นพัฒนาการตามธรรมชาติของคุณแม่วัยนี้
จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง คุณโทร.กลับไปที่บ้านแม่
แต่...
ไม่มีคนรับสายแล้ว


อย่าเพิ่งตกใจ
แม่อาจจะออกไปทำบุญที่วัดตามประสาคนแก่ก็ได้
ลองโทร.เข้ามือถือแม่ดูซิ
....ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก...


อย่าเพิ่งด่วนสรุป มือถือแม่อาจจะแบตหมดก็ได้
ผู้หญิงคนนี้กระดูกเหล็กจะตายไป เธอต้องไม่เป็นอะไรแน่ๆ
คิดฟุ้งซ่านไปได้
ยังไงแม่ก็ต้องรอเราอยู่เหมือนเดิมน่ะแหละ ไปหาเมื่อไหร่ก็ต้องเจอ
อย่างมากแกก็อาจจะงอนนิดๆ หน่อยๆ พอเห็นหลานตัวเล็กๆ
วิ่งเข้าไปกอดก็ขี้คร้านจะอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้ง
หลายวันผ่านไป ทำไมแม่ยังไม่โทร.กลับมาอีกนะ
ทำบุญตักบาตรก็ไม่น่าจะรอคิวนานขนาดนี้
ชาร์จแบตมือถือไม่เต็มก็เป็นไปไม่ได้
ต่อให้เป็นแบตเตอรี่รถสิบล้อป่านนี้ไฟทะลักแล้ว


วันนี้แวะไปหาแม่สักหน่อยดีกว่า
ระหว่างทางที่คุณขับรถไป
ลูกคุณซนเป็นลิงอยู่ข้างๆ
ประโยคมากมายที่หลุดจากปากคุณ ล้วนเเต่เป็น
คำที่แม่คุณเคยพูดมาแล้วทั้งสิ้น
คุณเพิ่งสัมผัสได้
ภาพเก่าๆ มากมายที่ผู้หญิงคนนั้นทำวิ่งวนอยู่ในหัวคุณ
ช่างเถอะ.. เดี๋ยวเจอเธอแล้ว คุณจะสารภาพผิด
แล้วทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น


แล้วคุณก็ได้เจอ
คนที่คุณรู้สึกว่าเธอเป็นภาระให้กับคุณมาตั้งแต่เกิด
....ผู้หญิงคนนั้น
นอนตายในท่าที่คอยคุณมาตลอดชีวิต...

ดินสอกับปากกา


เมื่อ 100 ปีมาแล้วปากกาด้ามแรกก็ได้เกิดขี้น บนโต๊ะทำงานแห่งหนึ่ง เจ้าดินสอไม้ตัวน้อยมองดูเจ้านายของมันด้วยความอาลัย"ทำไมนายเปลี่ยนไป ไม่รักข้าเหมือนแต่ก่อน ไม่ใช้งานข้าล่ะ"เจ้าปากกาซึ่งตอนนี้อยู่ในมือของนักธุรกิจชายผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้านายของดินสอไม้และปากกาด้วย มองเห็นเจ้าดินสอไม้ซึ่งหดหู่ใจอยู่ ก็พูดข่มทับเจ้าดินสอว่า"นี่ เจ้าดินสอไม้ ก็เจ้าน่ะมันล้าสมัยแล้ว ไม่มีเจ้านายคนไหนอยากใช้งานเจ้า ในการเขียนหรอก ข้าน่ะมีทั้งความคมชัด เขียนลื่น ไม่มีวันไส้หักเหมือนตัวเจ้า เจ้านายจึงรักข้ามากกว่าเจ้าอย่างแน่นอน"เมื่อเจ้าดินสอไม้ได้ยินเจ้าปากกาพูดเช่นนี้ จิตใจที่ห่อเหี่ยวอยู่แล้วยิ่งทับทวีมากขึ้นไปอีก มันตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตาย โดยกลิ้งตัวเองให้หล่นจากโต๊ะทำงาน เมื่อหล่นจากโต๊ะทำงานมันก็รู้ตัวว่ามันยังมีชีวิตอยู่ ก็รู้ตัวว่าคงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้เมื่อเสร็จสิ้นการทำงานของนักธุรกิจผู้นั้น เขาก็เผลอทำเจ้าปากกาตกที่พื้น โดยไม่สนใจเก็บเช่นกัน ในตอนเย็นน้องชายของนักธุรกิจผู้นั้น เขามีอาชีพเป็นนักวาดภาพ ได้มาเจอเจ้าดินสอไม้ และปากกาหล่นบนพื้นทั้งคู่ เขาก็เก็บมันไปใช้มาถึงตอนนี้ทุกท่านที่อ่านคงเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไร ใช่แล้ว เจ้าดินสอไม้ที่ไม่เคยได้รับการเอาใจใส่จากเจ้านายนักธุรกิจ กลับมีคุณค่ากับเจ้านายนักวาดภาพมันถูกใช้งานจนตัวมันสูญสลายไป แต่กลับได้ภาพที่สวยงาม ยังคงคุณค่าให้ผู้พบเห็นได้ชื่นชม ซึ่งมันมีองค์ประกอบในภาพนั้น ส่วนเจ้าปากกาหลังจากที่ถูกนักวาดภาพเก็บไป มันก็อยู่แต่ในกล่องไม่เคยถูกหยิบมาใช้งานอีกเลย จนหมึกมันแข็งใช้งานไม่ได้ พอจะถูกใช้งานอีกที มันก็หมดอายุ เขียนไม่ออก แต่ตัวมันไม่สูญสลายไป ยังคงทิ้งร่างกายเอาไว้เป็นภาระต่อเจ้านาย มันจึงถูกทิ้งในถังขยะต่อไปเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ตัวเราย่อมมีคุณค่าเสมอ แต่ต้องให้ถูกกับงาน

เตือนวัยรุ่นรักด้วยสมอง

ว.วชิรเมธี เตือนวัยรุ่นรักด้วยสมอง
มีให้เลือก 4 แบบ กลัวตาย-ใคร่-เมตตา-ให้
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตยาลัย เตือนเด็กและเยาวชนในวันวาเลนไทน์ว่า ความรักเป็นได้ทั้งความสุขและความทุกข์ เป็นทั้งความหวังและสิ้นหวัง เป็นทั้งอนาคตและมืดมิด ถ้ารักด้วยสมองความรักจะนำสิ่งดี ๆ มาให้ ถ้ารักจนขึ้นสมอง ความรักจะนำสิ่งเลวร้ายมาให้แก่เรา
ดังนั้น ความรักจะเป็นสิ่งที่ล้ำเลิศหรือความทุกข์ตรมขึ้นอยู่กับว่ารักด้วยสมอง หรือรักแบบขึ้นสมอง และต้องไม่ยึดติดว่าความรักมีเพียงมิติเดียว คือความรักเชิงชู้สาวเท่านั้น แต่ความรักมีหลายมิติ เปรียบเสมือนบันไดต้องเดินขึ้นไปทีละขั้น จนถึงความหมายของความรัก นั่นคือความสุข ถ้ารักแล้วมีความทุกข์พัฒนาการของความรักยังไม่สมบูรณ์
สำหรับความรักมี 4 แบบ คือ 1. รักตัวกลัวตาย รักชนิดนี้ถ้ามีมาก ๆ จะทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว 2. รักใคร่ปรารถนา อิงกับสัญชาติญาณการสืบพันธุ์ ความรักชนิดนี้จะทำให้เกิดความลุ่มหลง กามารมณ์ หนุ่มสาวจะยึดความรักชนิดนี้เป็นที่พึ่งของชีวิต ยึดติดความใคร่มาใช้ในนามของความรัก จนกลายเป็นความโลภ คือ อยากจะครอบครองใครสักคนให้อยู่ในความควบคุมของเรา พอควบคุมไม่ได้ความรักก็กลายเป็นความร้ายเป็นโศกนาฏกรรม เช่น ทำร้ายคนรัก เผยแพร่คลิปคนรัก สาดน้ำกรดคนรัก เป็นต้น 3.รักเมตตาอารี ให้เห็นคนทั้งโลกว่าเป็นมิตรแก่เรา และ 4.รักมีแต่ให้ คือเป็นผู้ให้ รักปัญญาชนไม่คิดจะทำร้ายใคร ไม่หวังผล และพัฒนาจนปลายทางของความรักแท้
ทั้งนี้ เนื่องในวันวาเลนไทน์ ขอให้เยาวชนคนไทยทั้งหลายยึดความรักที่ถูกที่ควร เป็นแนวทางปฏิบัติ ไม่ใช่ไปจมติดกับความรัก
.............


บัว ๔ เหล่า ได้แก่๑.พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที (อุคฆฏิตัญญู) ๒.พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปัจจิตัญญู) ๓.พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอยด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ) ๔.พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน (ปทปรมะ)