วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ล้มทั้งยืน...ดีกว่าล้มไม่เป็น

"อย่าคิดว่าสูญเสียแล้วชีวิตจะต้องเป็นศูนย์ เรานับหนึ่งใหม่ได้เสมอหากเราคิดจะนับซะอย่าง"

ถ้าสิ่งที่เราคาดหวัง...ไม่เป็นดั่งหวังถ้าสิ่งที่เราพยายามทุ่มเททำสุดแรงกาย แรงใจไม่ประสบผลสำเร็จ ถ้าสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นมันก็เกิดขึ้นและได้สร้างความบอบช้ำจนทำให้เราต้องจมอยู่กับความทุกข์

เรา กำลังก้าวสู่ "ชีวิตที่เป็นจริง" แล้วหล่ะ เพราะความเป็นจริงของชีวิต จะสอนให้เรารู้จักยอมรับความพ่ายแพ้สอนให้เรารู้จักสูญเสียน้ำตา เพื่อที่จะได้รอยยิ้มคืน กลับมาเป็นรางวัลตอบแทนแต่มันก็ไม่เคยทำให้ใครหมดสิ้นความหวัง หมดสิ้นพลังและกำลังใจไปกับความพ่ายแพ้ เพียงแค่ความเป็นจริงสอนให้พวกเราทุกคนรู้ว่า

...........อย่าเพียรสร้างความหวัง แต่ให้เชื่อมั่นใความหวัง............

เพราะความเชื่อมั่นจะนำพาเราไปพบกับ "หนทางสู่ความสำเร็จ"

แม้ว่าจะต้องฝ่าฟันอะไรอีกมากมายกว่าจะถึงวันนั้น
แม้ว่าจะต้องล้มลงอีกสักกี่ครั้ง
แม้ว่าจะต้องผิดหวังอย่างแรงอีกสักกี่หนก็ตาม

ปล่อยให้ชีวิตผิดพลาดเสียบ้าง ปล่อยให้ความคาดหวังได้เจอกับความผิดหวัง ปล่อยให้ความฝันกลายเป็นฝันค้างลอยกลางอากาศ ปล่อยให้อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด แม้ว่าเกิดขึ้นแล้วจะเลวร้ายกับชีวิตก็ตามทีเพราะทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้น จะช่วยสอนและช่วยเป็นบทเรียนอันล้ำค่าให้แก่ชีวิต ที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วบนโลกใบนี้

คุณบอย โกสิยพงศ์ เคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสารเล่มหนึ่ง เขาพูดให้แง่คิดที่ดีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมันอาจจะสร้างบาดแผลให้กับใครหลาย ๆ คนมาบ่อยครั้ง คุณบอยพูดไว้ว่า...

"ไม่มีอะไรที่อยู่กับเราตลอดชีวิต ทุกอย่างมันก็รอเวลาจากเราไปทั้งนั้น เชื่อว่าถ้าชีวิตคนเราไม่ยึดติด ไม่ต้องแขวนชีวิตไว้กับความคาดหวัง เวลาที่เราสูญเสีย หรือเวลาที่เราต้องเจอกับความล้มเหลว เราคงมีภูมิต้านทานมากพอที่จะเอาไว้ต่อสู้กับความท้อแท้ อย่าคิดว่าสูญเสียแล้วชีวิตจะต้องเป็นศูนย์ เพราะว่าเรานับหนึ่งใหม่ได้เสมอหากเราคิดที่จะนับซะอย่าง ไม่มีอะไรบนโลกที่น่ากลัว และไม่จำเป็นต้องกลัวกับความเป็นจรองของชีวิต"

"มีพบก็ต้องมีจาก มีได้ก็ต้องมีเสีย และมีสุขก็ต้องมีทุกข์เป็นสัจธรรม"

เมื่อไรที่เราได้รู้จักสัมผัส และได้เรียนรู้กับชีวิตทั้งสองด้าน เมื่อนั้นเราจะไม่รู้สึกเสียดายหากเราได้มีโอกาสล้มทั้งยืน แต่เราจะเสียใจไปตลอดชีวิตหากเราไม่สามารถก้าวข้ามความล้มเหลวที่ผ่านเข้ามา ได้

มีคนเคยบอกเอาไว้ว่า...

การตั้งความหวัง คือการเสี่ยงกับความเจ็บปวด
การพยายาม คือการเสี่ยงกับความล้มเหลว
แต่ยังไงก็ต้องเสี่ยง เพราะในสิ่งที่อันตรายที่สุดในชีวิตก็คือ
การไม่เสี่ยงอะไรเลย


"ล้ม" ลงสักกี่ครั้ง ผิดหวังมาสักกี่หน ลุกขึ้นยืนให้ไกด้ แล้วสักวันเราจะเจอความสุข เพราะความสุขไม่ได้หนีจากเราไปไหนหรอก มันอยู่ใกล้เราแค่เพียงเอื้อมมือจริง ๆ ถ้าหากเราไม่ได้ไปตัดสินว่า โลกมันควรเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น และไม่ได้ตั้งกฎเกณฑ์ให้กับตัวเองมากจนเกินไป เวลาคิดหรือทำอะไรสักอย่างแล้วมีข้อบังคับ มีกรอบ และสร้างมโนภาพความสำเร็จไว้ล่วงหน้า เมื่ออะไร ๆ ไม่เป็นไปตามกฎของเรา เราก็ทุกข์ เราก็เสียใจ และเราก็ใจเสียเอาได้ง่าย ๆ


มีคนเคยบอกไว้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ ไม่ใช่สิ่งที่จะกำหนดความสุขของคุณ แต่มันเป็นความคิดของคุณเองต่างหาก ความคดที่มีต่อสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับคุณนั่นเองจะสุขหรือจะทุกข์ก็ขึ้นอยู่ ที่เราทั้งนั้นเป็นคนกำหนด ล้มทั้งยืนเสียบ้างก็คงไม่เสียหายไร แต่ล้มไม่เป็นเลยนี่สิ...

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันมาฆบูชา


มาฆบูชา เป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า เป็นวันเกิดพระธรรม ถือว่าเป็นวันที่ พระพุทธเจ้า ได้ประกาศ หลักธรรม คำสั่งสอนของพระองค์ เพื่อให้พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่มาประชุมกันในวันนั้น นำไปเผยแผ่

วั น"มาฆบูชา" เป็นวันบูชาพิเศษที่ต้องทำในวันเพ็ญเดือนมาฆะ หรือในวันที่พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์
( ซึ่งโดยปกติทำกันในกลางเดือน ๓ แต่ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ เดือนแปดสองแปด ก็เลื่อนไปกลางเดือน ๔ )
ถือกันว่าเป็นวันสำคัญ เพราะวันนี้ เป็นวันคล้ายกับ วันประชุมกันเป็นพิเศษ แห่งพระอรหันตสาวก โดยมิได้มีการนัดหมาย ซึ่งเรียกว่า วันจาตุรงคสันนิบาต ซึ่งได้มีขึ้น ณ บริเวณเวฬุวันมหาวิหาร หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นเวลานับได้ ๙ เดือน
วันนี้เอง ที่พระพุทธองค์แสดง "โอวาทปาฎิโมกข์" ซึ่งถือกันว่า เป็นหลักคำสอนที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา


จาตุรงคสันนิบาต คือ การประชุมพร้อมด้วยองค์ ๔ คือ
๑. วันนั้น เป็นวันมาฆปูรณมี คือวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำกลางเดือนมาฆะ จึงเรียกว่า มาฆบูชา
๒. พระภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย (สาเหตุของการชุมนุม)
๓. พระภิกษุทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ ประเภทฉฬภิญญา คือ ได้อภิญญา ๖
๔. พระภิกษุ เหล่านั้น ทั้งหมด ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง (เอหิภิกฺขุอุปสมฺปทา)



โอวาทปาฏิโมกข์ เป็นหลักคำสอนที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึง จุดหมาย หลักการ และวิธีการ ของพระพุทธศาสนาไว้อย่างครบถ้วน

๑. จุดหมายของพระพุทธศาสนา คือ พระนิพพาน (นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา)

๒. หลักการของพระพุทธศาสนา คือ ต้องมีความอดทน ในการฝึกตนเอง เพื่อบรรลุจุดหมาย (ขนฺติ ปรมํ ตโป ตีติกฺขา) ต้องประกอบด้วย
ก. ไม่ทำความชั่วโดยประการทั้งปวง ทั้งทางกาย วาจา และทางใจ (สพฺพปาปสฺส อรกณํ)
ข. ทำความดีทั้งทางกาย วาจา และใจ (กุสลสฺสูปสมฺปทา) การไม่ทำความชั่วนั้น จะเรียกว่า เป็นคนดียังไม่ได้ การเป็นคนดี จะต้องทำความดี ทั้งทางกาย วาจา ใจ มิฉะนั้นแล้ว คนปัญญาอ่อน คนเป็นอัมพาต เป็นต้น ก็จะเป็นคนดีไปหมด
ค. การชำระจิตใจให้สะอาด ผ่องใส สงบ (สจิตฺตปริโยทปนํ)

๓. วิธีการที่จะบรรลุจุดหมาย คือ ต้องฝึกอบรมตนแบบต่อเนื่อง ให้เกิดมรรคสามัคคี คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ** รวมพลังกัน เหมือนเชือก ๘ เกลียว หรือให้มี ศีล สมาธิ และปัญญา รวมพลังกัน เหมือนเชือก ๓ เกลียว พัฒนากาย วาจา ใจ ให้พูดดี ทำดี คิดดี ไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ หรือ ราคะ โมสะ โมหะ ไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งกิเลส ตัณหา หรือความใคร่ ความอยากมี อยากเป็น แบบมืดบอด ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ที่มันเป็นไปไม่ได้ เช่น ไม่อยากเป็นคนเสื่อมลาภ, ยศ, สรรเสริญ, สุข เป็นต้น โดยอาศัยวิธีการดังต่อไปนี้.

ก. ฝึกวาจา ระวังเสมอ มิให้กล่าวคำเท็จ คำหยาบ คำส่อเสียด คำเพ้อเจ้อ (อนูปวาโท)
ข. ฝึกกาย ระวังเสมอมิให้มีการฆ่า ทำลายชีวิต ตลอดจนถึงการเบียดเบียนทางกาย (อนูปฆาโต)
ค. ละเว้นข้อที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสห้ามไว้ และทำตามข้อที่พระพุทธองค์อนุญาต (ปาฎิโมกฺเข จ สํวโร)
ง. รู้จักประมาณในการบริโภค อาหาร ตลอดจน รู้จักประมาณในการใช้สอยปัจจัย ๔ (มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺสมึ)
จ. ฝึกตนอย่างจริงจัง ในที่ที่สงัดจากสิ่งรบกวน (ปนฺตนฺ จ สยนาสนํ)
ฉ. ภาวนาอยู่เสมอ คือ พัฒนาตนเองให้พ้นจากอำนาจของกิเลสตัณหา การภาวนา หมายถึง การใช้ทั้งสมาธิ และวิปัสสนา แก้ปัญหา หรือจัดการกับกิเลส (อธิจิตฺเต จ อาโยโค) เป็นการตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอ มิให้จิตใจเศร้าหมอง ให้จิตใจผ่องใสอยู่เสมอ (สจิตฺตปริโยทปนํ)

จุดหมาย หลักการ และวิธีการ ที่พระพุทธเจ้าได้ประกาศไว้จะเป็นไปด้วยดี และบรรลุวัตถุประสงค์ที่พระพุทธเจ้าทรงมุ่งหมายไว้นั้น พระองค์ได้ย้ำเตือนไว้ว่า จะต้องปฏิบัติตนให้เป็นอย่างบรรพชิต และเป็นอย่างสมณะ คือ เว้นจากความชั่วทุกประการ และเป็นผู้ปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่าง เพื่อระงับบาปอกุศล ได้แก่ ผู้ปฏิบัติธรรม เพื่อเป็นอริยบุคคล ทั้งไม่เบียดเบียนและไม่ก่อให้เกิดความเดือนร้อนแก่คนที่ประพฤติดี ปฏิบัติชอบทั้งหลาย (น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต)



หมายเหตุ
** อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ
สัมมาวาจา การพูดจาชอบ
สัมมากัมมันตะ การทำงานชอบ
สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีวิตชอบ
สัมมาวายามะ ความพากเพียรชอบ
สัมมาสติ ความระลึกชอบ
สัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่นชอบ

อภิญญา ๖
อภิญญา คือความรู้อันยอดยิ่งมี ๖ ประการได้แก่
๑.แสดงฤทธิ์ได้ (อิทธิวิธิ)
๒.หูทิพย์ (ทิพยโสต)
๓.รู้จักกำหนดใจผู้อื่น (เจโตปริยญาณ)
๔.ระลึกชาติได้ (ปุพเพนิวาสานุสติญาณ)
๕.ตาทิพย์ (ทิพยจักษุ)
๖.ทำอาสวะกิเลสให้สิ้นไป-คือญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย (อาสวักขยญาณ)

สาเหตุของการชุมนุม
คงเนื่องมาจากภิกษุเหล่านั้นล้วนเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนและในวันเพ็ญเดือนมาฆะ
เป็นวันที่ทางศาสนาพราณ์ได้ประกอบพิธีศิวาราตรี คือ การลอยบาปในแม่น้ำคงคา และประกอบพิธีสักการบูชาพระเป็นเจ้าในเทวสถาน เมื่อถึงวันนั้น พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าซึ่งเคยประกอบพิธีดังกล่าวจึงต่างพากันไปเฝ้าพระพุทธองค์

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ข้อคิด ชีวิตมีสุข

1. เราไม่ได้มีชีวิตเพื่อการเฝ้านั่งเสียใจร่ำไห้ หรือ พูดถึงแต่สิ่งที่เราทำผิดพลาดในอดีต รู้จักให้อภัยตัวเองในสิ่งที่เราทำผิดพลาด แล้วไม่นึกถึงมันอีก
2. เรียนรู้ที่จะให้อภัยผู้อื่น ในสิ่งที่เขาทำผิดพลาดในอดีต แล้วไม่พูดถึงมันอีก
3. การปล่อยวางไม่ใช่เป็นการยอมแพ้ ตรงกันข้าม เป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งจากส่วนลึกของหัวใจของเราวันละน้อย เพื่อเอาชนะความอ่อนแอ
4. ชีวิตไม่ได้เติบโตจากการทำให้ทุกสิ่งได้ดั่งใจของเรา แต่เป็นการยอมรับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตของเราอย่างกล้าหาญ รักและเข้าใจทุกสิ่งที่เราได้ตัดสินใจทำลงไปทุกครั้ง
5. เรียนรู้ความจริงว่าเราไม่สามารถบังคับผู้อื่นให้คิดและทำในสิ่งที่เราต้องการได้ เพราะแม้แต่ตัวเราเอง ยังทำให้เป็นอย่างที่เราต้องการไม่ได้เลย
6. อย่าเสียเวลาคิดแค้นเคืองโกรธในการกระทำของผู้อื่นที่ส่งผลให้เราทุกข์ใจ ให้อภัยเขาเสีย และหากอยากรู้สึกดีขึ้น ก็นึกถึงคำสอนในพุทธศาสนาว่า ใครทำกรรมใดไว้ ผู้นั้นย่อมได้รับผลนั้นได้ด้วยตนเอง
7. วัตถุหรือภาพลวงตาภายนอกไม่เคยสามารถเติมเต็มหัวใจใครได้ การตั้งหน้าตั้งตาหาวัตถุ หรือความพึงพอใจจากการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เพื่อหวังว่าจะทำให้เรารู้สึกเต็มและมีความสุข นั่นเป็นแค่ฝันลมๆแล้งๆ การรับวัตถุทำให้เรามีความต้องการไม่รู้จบ ขณะที่การได้รับความรักความเข้าใจจากคนที่รักอย่างเต็มเปี่ยมจะทำให้เรามีหัวใจที่ "เต็ม" จนไม่ต้องไขว่คว้าหาวัตถุมาเติมเต็มหัวใจอีก

หมดหวังท้อแท้ในชีวิต..คิดอย่างไรให้ใจสู้

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาของชีวิต.. หลายคนคงผ่านบทเรียนแห่งชีวิตมานับไม่ถ้วน.. ทั้งบทเรียนแห่งความผิดหวัง.. บทเรียนแห่งความท้อแท้..แพ้ชีวิต.. บทเรียนแห่งความสำเร็จ..
ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนใด ๆ ก็ตาม.. เมื่อเราเกิดความผิดหวัง...ท้อแท้..ในชีวิต.. เราต้องพยายามปรับใจ..วางใจให้ถูก.. ด้วยวิธีการคิดที่จะปรับเปลี่ยน..ชีวิตของเรา.. ให้มีกำลังใจ..สู้ต่อไป..
๔ วิธีคิดที่จะสร้างพลังใจให้สู้ คือ..

วิธีที่ ๑ คิดแบบตรงกันข้ามกับความรู้สึกในขณะนั้น เช่น >>>…ถ้าทุกข์ ก็คิดสร้างสุข >>>…ถ้ายากก็คิดแบบง่าย... >>>…ถ้าเกิดปัญหา ก็คิดแก้ปัญหา..

วิธีที่ ๒ คิดแบบสร้างกำลังใจ เช่น >>>…ปลุกปลอบใจตนเอง...ทุกครั้งที่เกิดความท้อแท้..ผิดหวัง >>>…บอกตนเองเสมอว่า..เราต้องทำได้..เราต้องทำได้อย่างแน่นอน.. >>>…เราต้องทำได้แน่นอนที่สุด..ไม่มีคำว่า..ทำไม่ได้.. >>>…ท่องไว้ในใจว่า..ไม่มี ไม่เป็น ไม่เหนื่อย... >>>….ไม่ทุกข์ ไม่ท้อ ไม่หนี ไม่มีปัญหา...

วิธีที่ ๓ คิดแบบมีเป้าหมายในชีวิตที่แน่นอน มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว.. >>>…หากยังไม่ประสบความสำเร็จ.. >>>…ก็จะไม่เลิก ลด ละ ความเพียรพยายาม.. >>>…จงสู้ต่อไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ.. >>>…แม้จะเป็นวินาทีสุดท้ายของลมหายใจก็ตาม..

วิธีที่ ๔ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก.. >>>…มองปัญหาออก..แก้ปัญหาเป็น.. >>>…คิดการใหญ่...ใช้คนเป็น..รู้เห็นตามความถูกต้อง.. >>>…มุ่งปรองดอง...รักษาน้ำใจ..สร้างมิตรภาพ.. >>>…อย่าลืมว่า.. “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” ... >>>…ต้องคิดดี..ทำดี..พูดดี..ทุกที่ทุกเวลา...

ดังนั้น.. ถ้าท้อแท้..หมดหวังในชีวิต.. จงพยายามคิดให้ใจสู้... อย่าเชื่อว่า...เราทำไม่ได้..ถ้ายังไม่ได้ลงมือทำ.. อย่าท้อแท้..ตราบใดที่เรายังไม่ได้พยายาม.. อย่าสิ้นหวัง...ตราบใดที่เรายังมีกำลังใจ.. อย่าแพ้ชีวิต...ตราบใดที่ใจของเรายังมีหวัง.. จงอย่าทำลายความหวัง...เพียงเพราะ.... การดูหมิ่นตนเองว่า... “ทำไม่ได้”...

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

กบวิเศษ


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีกบวิเศษตนหนึ่ง อาศัยอยู่ในป่าซึ่งเป็นป่าดงดิบลึกลับ ยากที่จะมีมนุษย์หรือสัตว์ชนิดใดเดินทางไปถึง แต่แล้ววันหนึ่งกบวิเศษได้ยินเสียงสัตว์สองชนิดวิ่งไล่กวดกันมาอย่างเอาเป็นเอาตาย ที่แท้มันคือหมีตัวใหญ่กำลังไล่ล่ากระต่ายเจ้าเล่ห์เพื่อนำไปทำดินเนอร์มื้อเย็น กบวิเศษเรียกให้สัตว์ทั้งสองหยุดตอบข้อซักถามเพราะตลอดชีวิตของมันไม่เคยพบหมีและกระต่ายวิ่งไล่กันมาก่อน "เจ้าทั้งสองวิ่งกวดกันแทบเป็นแทบตายเพราะเหตุใดหรือ" กบถาม "มันจะจับข้าทำอาหาร" กระต่ายตอบลิ้นห้อยด้วยความเหนื่อย "อ๋อ เป็นเช่นนี้เอง เอาเถอะ อย่าทำร้ายซึ่งกันและกันเลย เราจะให้พรวิเศษเจ้าตัวละ 3 ข้อ หวังว่าคงจะช่วยลดความขัดแย้งลงได้" ทั้งหมีและกระต่ายรับคำด้วยความยินดี เจ้าหมีเป็นฝ่ายขอพรก่อน มันคิดอยู่เป็นนาที จึงกล่าวว่า "ข้าอยากให้หมีทั้งหมดป่าแห่งนี้ยกเว้นตัวข้าเป็นตัวเมียทั้งสิ้น" กล่าวเสร็จมันพลันตัวสั่นขนพองด้วยความสยิว กลิ่นสาบสาวจากหมีตัวเมียฟุ้งไปทั่วป่า กระต่ายผู้น่าสงสารของเพียงหมวกกันน็อกหนึ่งใบ "เจ้ากระต่ายปัญญาอ่อนหน้าโง่ ถ้ามันขอเงินสักพันล้านมันสามารถซื้อหมวกกันน็อกได้หลายล้านใบ แต่ช่างเถอะ ไม่ใช่ธุระอะไรของเรา" เจ้าหมีบ้าเซ็กซ์ขอพรข้อสอง มันคิดอยู่นานสามนาทีก่อนจะกล่าวว่า "ข้าปรารถนาให้หมีทุกตัวในป่าถัดไปกลายเป็นตัวเมียทั้งสิ้น" กล่าวเสร็จตัวมันพลันน้ำลายไหลด้วยความสยิว หมีตัวเมียเพิ่มอีกนับร้อยตัว มันจะตั้งฮาเร็มหมี กระต่ายน้อยขอมอเตอร์ไซต์หนึ่งคัน เมื่อได้สมปรารถนามันก็สวมหมวกกันน็อก ขึ้นคร่อมและสตาร์ทรถทันที หมีใหญ่ขอพรข้อสุดท้าย "ข้าปรารถนาให้หมีทุกตัวในโลก ยกเว้นตัวข้า กลายเป็นหมีตัวเมียทั้งสิ้น" โอ .. มันแทบจะรอไม่ไหวแล้ว แต่แล้วมันถึงกับช็อค เมื่อได้ยินกระต่ายน้อยขอพรข้อที่สาม ก่อนบึ่งรถหนีไป "ข้าขอให้เจ้าหมีตัวนี้เป็นเกย์"

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553

บทความสอนใจ ในมุมมองที่แตกต่างของความคิด

1.ไม่ว่าวันนี้จะเลวร้ายแค่ไหน จงยิ้มเข้าไว้ …. เพราะพรุ่งนี้อาจจะเลวร้ายยิ่งกว่า
2.คำว่า ‘พรุ่งนี้รวย’ ของคนขายลอตเตอรี่ ไม่ใช่คำมั่นสัญญา แต่เป็นปรัชญาที่ต้องตีความ …. เช่นเดียวกับคำพูดของนักการเมือง
3.สิ่งที่คนเมาพูด คือ สิ่งที่คนปกติคิด
4.ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ แต่ไม่ว่าคุณจะแก้ดียังไง มันก็จะนำไปสู่ปัญหาใหม่ ที่ต้องให้คุณคิดหาทางแก้ไขต่อไป …. เป็นเช่นนี้เรื่อยไป
5.ทุกปัญหาย่อมมีวิธีแก้ที่ง่ายที่สุด …. แต่วิธีแก้ที่ง่ายที่สุด จะพบหลังจากใช้วิธียากที่สุดไปแล้ว
6.อะไรก็ตามที่คุณอยากจะถาม …. เป็นไปได้มากว่า มันคือสิ่งที่คุณไม่ควรจะรู้
7.คนเรามีแนวโน้มที่จะพูดในเรื่องที่ไม่ควรพูด ในเวลาที่ไม่เหมาะสมที่สุด และกับคนที่ไม่น่าจะพูดด้วยที่สุด
8.สินค้าที่ประสบความสำเร็จทางการตลาดที่สุด คือ สินค้าที่คนโง่ที่สุดใช้เป็น และอยากจะใช้ แม้จะไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็ตาม
9.เมื่อคุณมาประชุมสาย ประธานจะมาตรงเวลา และเมื่อคุณมาตรงเวลา การประชุมจะเลื่อนไป …. ไม่มีกำหนด
10.อะไรก็ตามที่คุณคิดได้และรู้สึกว่ามันสุดยอดจริงๆคุณก็จะพบว่ามีคนอื่นที่ไหนสักแห่งคิดมาแล้ว ….
ความต่างที่ไม่ต่างของคนที่มองมุมเดียวกัน

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553

หลากหลายข้อคิดเพื่อชีวิตที่ดีกว่า


ฟ้ามิได้แบ่ง ‘ยอดคน’ กับ ‘คนธรรมดา’ ออกจากกันยอดคนจะปรากฏขึ้นเสมอแต่นั้นมิใช่เพราะ ‘ฟ้ากำหนด’ การที่ "ยอดคน"ปรากฏขึ้นได้เพราะ เขาผ่านการ "ฝึกฝน" และ "เรียนรู้" ที่จะเป็นยอดคน................................................................"อัจฉริยะ" ไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิดคนเก่งได้นั้นต้องได้รับการฝึกฝน ม้าดี ต้องมีคนขี่มาฝึกฝน ..นักกีฬาที่ดีต้องมีโค้ทที่ดีมาฝึกฝน....................…................................Don't Look Down Yourself.อดีตไม่สำคัญว่าเราเป็นใคร สำคัญที่ว่าวันนี้เราต้องการเป็นใครจงเคารพนับถือในความสามารถของตัวเอง ยกย่องและให้เกียรติตัวเอง..................................…........................สมองของคนเราเหมือนพื้นดินที่ว่างเปล่าเมื่อเราปลูกอะไรลงไปเราก็จะได้ผลเป็นอย่างนั้น ... จงปลูกฝังแต่สิ่งดีๆลงไปในสมองคำพูดใดๆ ที่เราเคยได้ยินซ้ำๆ ซากๆ เกิน 37 ครั้ง มันจะกลายเป็น"อุปนิสัย" ของเราทันทีสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกคือ "สิ่งแวดล้อม" อย่าปล่อยให้ความคิดะหรือคำพูดของคนบางคนมาตัดสินชีวิตของเรา ในโลกนี้ไม่มีใครมีอิทธิพลกับตัวเราเองนอกจากตัวเราเอง......................................….....................ชีวิตไม่ใช่เกมส์กีฬา ไม่มีเวลาพักครึ่ง ไม่มีการขอเวลานอก และที่สำคัญคือ‘เปลี่ยนตัวผู้เล่นไม่ได้’ ไม่มีใครเกิดมา ‘ล้มเหลว’ มีแต่ ‘ล้มเลิก’.........................................คนฉลาด.. ต้องโง่เป็น คนโง่ไม่เป็น..จะไม่มีทางฉลาด.........................................เพียงคุณคิดว่าคุณทำได้ คุณก็ทำได้ตั้งแต่ที่คุณคิด แต่หากคุณคิดว่าคุณทำไม่ได้คุณก็ทำไม่ได้ตั้งแต่ที่คุณคิด สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของมนุษย์คือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ‘ทางจิต’ ที่ตอกย้ำตัวเองว่า .. ทำไม่ได้………………………………………………………………………….แม้แต่ "คิด" ยังไม่กล้าที่จะคิด แล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร?จงกล้าที่จะเผชิญความล้มเหลว.. ความล้มเหลวคือครูที่ทดสอบตัวเราIf you want to have success, you have no choice........................................................................มนุษย์ คือจุดศูนย์กลางของเส้นรอบวงที่ไม่มีขีดจำกัด .. ทำไม?มนุษย์เหมือนกันจึงประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน นั่นเป็นเพราะไมมนุษย์แต่ละคนได้รับโอกาสทางความคิดที่แตกต่างกัน................................................................คนสำเร็จมองปัญหาเป็นโอกาส คนล้มเหลวมองโอกาสเป็นปัญหาคนสำเร็จจะปรับตัวเองไปหาโลกภายนอกคนล้มเหลว จะให้โลกภายนอกปรับตัวเข้าหาตัวเองTeam work is less ‘E-GO’ and more ’WE GROW’.................................................................คนสำเร็จระดับผู้บริหาร เป็นผู้นำขององค์กรต่างๆ ในโลกนี้ กว่า 85%ทั่วโลกล้วนแล้วแต่มิใช่คนเก่ง แต่เป็นคนดีทั้งสิ้น คนเก่ง.. มักจะมี ‘อัตตา’จะไม่ยอมปรับตัวเข้าหาโลก ไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น่ไม่ยอมรับการพัฒนา..ความรู้ และสิ่งใหม่ๆ ‘ปกครองคนไม่ได้’ คนเก่ง..ใช้เวลา 2-3 ปีก็สอนให้เก่งได้ .. แต่.. คนดีต้องใช้เวลา ‘ชั่วชีวิต’ สอนกันคนเก่งมักจะขาดความจงรักภักดี ไม่มีความกตัญญู......................................................................"ความรู้" เป็นเพียง "พลังอำนาจแฝง" ชนิดหนึ่งเท่านั้น "ความรู้" จะกลายเป็น "พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่" ได้ก็ต่อเมื่อมันถูกนำ ไปใช้อย่างชาญฉลาดเท่านั้น............................……………………………………….ฟัง..แต่..ไม่ได้ยิน ได้ยิน..แต่..ไม่เข้าใจ เข้าใจ..แต่..ไม่ลึกซึ้งั้นยลึกซึ้ง..แต่..ไม่แตกฉาน แตกฉาน..แต่..นำไปใช้ไม่เป็น !!!จงนำศักยภาพและอัจฉริยภาพที่ซ่อนเร้นในตัวเรา มาใช้อย่างชาญฉลาด

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553

ความรักของแม่

แม่ เป็นภาระให้แก่ลูกทุกคนมาตั้งแต่เกิด
นั่นเป็นความจริงที่เราไม่อาจปฏิเสธได้
ก็ลองคิดดูสิ ตั้งแต่เราเกิดมา
ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเลย
อยู่ดีๆ ผู้หญิงคนนี้ก็มาโอบอุ้ม
ถูกเนื้อต้องตัวเรา


มิวายที่เราจะแหกปากร้องไห้ขับไล่ไสส่งยายผู้หญิงคนนี้ขนาดไหน
เธอก็ยังพยายามปลอบโยน เห่กล่อมเราอยู่นั่นแหละ
เป็นภาระให้เราต้องจำใจเงียบ
ยอมนอนดูดนมเธออยู่จั่บๆๆ


พอเราเริ่มเตาะแตะ
ตั้งไข่จะเดินไปไหนต่อไหนมั่ง
คุณเธอก็ยังคอยเรียกหาเราอยู่นั่นแหละ
มานี่มาลูก มานี่มา อีกนิดเดียวลูก อีกนิดเดียว
อีกก้าวเดียว ไม่รู้จะเรียกทำไมนักหนา
ไอ้เราก็เดินล้มลุกคลุกคลานอยู่ เห็นมั้ย
เป็นภาระที่เราต้องเดินไปให้เธอกอดอีก
โตขึ้นมาอีกนิด เราเริ่มกินอาหารได้
หล่อนก็เอาอะไรนักหนาไม่รู้ เละๆ เทะๆ มาบดให้เรากิน
ไอ้เราจะไม่กินก็ไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะน้อยใจ ก็เอาวะ เอาซะหน่อย
เคี้ยวไปเเจ่บๆ อย่างนั้นแหละ
แม่คุณก็ยิ้มปลื้ม คงนึกว่าเราอร่อยตายล่ะมั้งนั่นน่ะ
กล้วยบดนะจ๊ะเธอจ๋า
ในปากฉันตอนนี้น่ะ ถ้าคิดว่ามันอร่อยขนาดนั้น ทำไมไม่ลองทานเองดูมั่งล่ะ
ทีนี้พอเราเริ่มพูดจารู้เรื่องขึ้นมาหน่อย
คราวนี้ยังไงล่ะ
ผู้หญิงคนนี้กลับขับไล่ไสส่งให้เราไปโรงเรียนซะอีก
ไม่ไปก็ไม่ได้ด้วยนะ
บางทีมีตีเราเข้าให้อีก
ภาษาอะไรนักก็ไม่รู้เอามาให้เราหัดอ่านหัดเรียน ใช่มั้ย
ลองคิดดูนะ สัปดาห์หนึ่งต้องไปโรงเรียนตั้งห้าวันน่ะ
มันภาระหนักหนาแก่เราแค่ไหน
แต่พอถึงเวลาเราจะดูทีวี
ดูหนังการ์ตูน นอนดึกขึ้นมาสักหน่อย
ลองนึกย้อนไปสิ
ใครกันเคี่ยวเข็ญให้ เราไปนอนด้วย
ตัวเองง่วงจะนอนคนเดียวก็ไม่ได้นะ
ต้องบังคับให้เราไปนอนเป็นเพื่อนด้วย ใช่มั้ย
ที่พูดนี่ไม่ใช่ลำเลิกหรอกนะ เพียงแค่อยากให้เห็นใจกันบ้างเท่านั้น


วันเวลาผ่านไป เราโตขึ้น แต่แม่ก็ยังไม่ยอมโตตามเราสักที ลูกอยากจะทำผมทำเผ้า แต่งเนื้อเเต่งตัวให้มันดูอินเทรนด์ ดูทันสมัย ใครกันเป็นตัวสกัดดาวรุ่ง พูดแล้วขนลุก
ผู้หญิงคนนี้มีพัฒนาการไม่คืบหน้าไปไหนเลยว่ามั้ย

พอเราสำเร็จจบการศึกษาเเล้วเป็นยังไง...เธอร้องไห้ครับ
เชื่อเถอะว่าเธอต้องร้องไห้ ถ้าเราไม่เห็นก็แปลว่าเธอต้องแอบร้องไห้
มีอย่างที่ไหน เราคร่ำเคร่งร่ำเรียนมาแทบตาย
แล้วตัวเองแท้ๆ ที่เป็นคนเริ่มเรื่อง
พอเราเรียบจบแทนที่จะดีใจดันมาร้องไห้
มีอย่างที่ไหน


ดีนะ ว่าเราเข้าใจ คู่มือการเลี้ยงแม่ ก็เลยทำใจได้
ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้ขอไปฉลองการ
สำเร็จการศึกษากับพวกเพื่อนๆ ที่นอกบ้านก่อน
ก็แหมเรียนจบทั้งที จะมาให้นั่งดูผู้หญิงแก่ๆ นั่งร้องไห้ทำไมล่ะ
ใช่มั้ย


เป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้วนี่ คราวนี้ใครๆ ก็ต้องอยากมีแฟน
คนโน้นก็ไม่ดี คนนี้ก็เรื่องมาก ผมยาวไปมั่งล่ะ
ดูไม่มีความรับผิดชอบมั่งล่ะ...แม่
แม่จะไปรู้อะไร
แม่เคยคบกับเขาเหรอ


ไม่ใช่แค่เรื่องคู่ครองเท่านั้นนะ
แม่เขายังอยากรู้ไปจนถึงเรื่องอาชีพการงานด้วยว่าเราจะไปทำอะไร
อยากเป็นอะไร


แม่ครับ แม่ไม่รู้สักเรื่องจะได้มั้ย
พวกเราจะเป็นอะไรมันก็เรื่องของพวกเรา
อนาคตของเรา ขอให้เราได้ตัดสินมันเอง
แต่เรารับรองกับแม่ได้อย่างหนึ่งว่า
เราจะไม่เป็นเหมือนแม่หรอก... เชย


นับจากบรรทัดแรก จนมาถึงบรรทัดนี้
เวลาก็ผ่านไปหลายปีแล้ว
สมควรที่พวกเราจะแต่งงานมีครอบครัวเป็นของตนเองสักที
ว่าแล้วเราก็ย้ายออกจากบ้านแม่
มายืนด้วยลำแข้งของตัวเอง อย่างที่แม่เคยพูดไง
แล้วทำไมต้องมาทำตาละห้อยด้วยล่ะ
วันที่เราย้ายออกมาน่ะ มันก็ไม่ได้ใกล้
มันก็ไม่ได้ไกลหรอกนะ
ไอ้ที่ย้ายออกมาน่ะ แต่เวลามันรัดตัวจริงๆ
ใช้โทร.คุยกันก็ได้นะแม่นะ


ถึงวันที่เรามีลูก
แม่ยังพยายามอยากมาทำตัวเป็นภาระกับลูกเราด้วย
เราบอกแม่ว่าไม่ต้องมายุ่งหรอก
เราดูแลลูกของเราได้
เด็กสมัยนี้มันไม่เหมือนกับสมัยแม่แล้วล่ะ
แม่อายุเกือบหกสิบปีแล้ว โทร.มาไอแค่กๆ
บอกไม่ค่อยสบาย เราบอกแม่ว่าอย่าคิดมาก
ในใจเรารู้อยู่แล้วว่าแม่พยายามเรียกร้องความสนใจ
นั่นเป็นพัฒนาการตามธรรมชาติของคุณแม่วัยนี้
จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง คุณโทร.กลับไปที่บ้านแม่
แต่...
ไม่มีคนรับสายแล้ว


อย่าเพิ่งตกใจ
แม่อาจจะออกไปทำบุญที่วัดตามประสาคนแก่ก็ได้
ลองโทร.เข้ามือถือแม่ดูซิ
....ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก...


อย่าเพิ่งด่วนสรุป มือถือแม่อาจจะแบตหมดก็ได้
ผู้หญิงคนนี้กระดูกเหล็กจะตายไป เธอต้องไม่เป็นอะไรแน่ๆ
คิดฟุ้งซ่านไปได้
ยังไงแม่ก็ต้องรอเราอยู่เหมือนเดิมน่ะแหละ ไปหาเมื่อไหร่ก็ต้องเจอ
อย่างมากแกก็อาจจะงอนนิดๆ หน่อยๆ พอเห็นหลานตัวเล็กๆ
วิ่งเข้าไปกอดก็ขี้คร้านจะอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้ง
หลายวันผ่านไป ทำไมแม่ยังไม่โทร.กลับมาอีกนะ
ทำบุญตักบาตรก็ไม่น่าจะรอคิวนานขนาดนี้
ชาร์จแบตมือถือไม่เต็มก็เป็นไปไม่ได้
ต่อให้เป็นแบตเตอรี่รถสิบล้อป่านนี้ไฟทะลักแล้ว


วันนี้แวะไปหาแม่สักหน่อยดีกว่า
ระหว่างทางที่คุณขับรถไป
ลูกคุณซนเป็นลิงอยู่ข้างๆ
ประโยคมากมายที่หลุดจากปากคุณ ล้วนเเต่เป็น
คำที่แม่คุณเคยพูดมาแล้วทั้งสิ้น
คุณเพิ่งสัมผัสได้
ภาพเก่าๆ มากมายที่ผู้หญิงคนนั้นทำวิ่งวนอยู่ในหัวคุณ
ช่างเถอะ.. เดี๋ยวเจอเธอแล้ว คุณจะสารภาพผิด
แล้วทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น


แล้วคุณก็ได้เจอ
คนที่คุณรู้สึกว่าเธอเป็นภาระให้กับคุณมาตั้งแต่เกิด
....ผู้หญิงคนนั้น
นอนตายในท่าที่คอยคุณมาตลอดชีวิต...

ดินสอกับปากกา


เมื่อ 100 ปีมาแล้วปากกาด้ามแรกก็ได้เกิดขี้น บนโต๊ะทำงานแห่งหนึ่ง เจ้าดินสอไม้ตัวน้อยมองดูเจ้านายของมันด้วยความอาลัย"ทำไมนายเปลี่ยนไป ไม่รักข้าเหมือนแต่ก่อน ไม่ใช้งานข้าล่ะ"เจ้าปากกาซึ่งตอนนี้อยู่ในมือของนักธุรกิจชายผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้านายของดินสอไม้และปากกาด้วย มองเห็นเจ้าดินสอไม้ซึ่งหดหู่ใจอยู่ ก็พูดข่มทับเจ้าดินสอว่า"นี่ เจ้าดินสอไม้ ก็เจ้าน่ะมันล้าสมัยแล้ว ไม่มีเจ้านายคนไหนอยากใช้งานเจ้า ในการเขียนหรอก ข้าน่ะมีทั้งความคมชัด เขียนลื่น ไม่มีวันไส้หักเหมือนตัวเจ้า เจ้านายจึงรักข้ามากกว่าเจ้าอย่างแน่นอน"เมื่อเจ้าดินสอไม้ได้ยินเจ้าปากกาพูดเช่นนี้ จิตใจที่ห่อเหี่ยวอยู่แล้วยิ่งทับทวีมากขึ้นไปอีก มันตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตาย โดยกลิ้งตัวเองให้หล่นจากโต๊ะทำงาน เมื่อหล่นจากโต๊ะทำงานมันก็รู้ตัวว่ามันยังมีชีวิตอยู่ ก็รู้ตัวว่าคงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้เมื่อเสร็จสิ้นการทำงานของนักธุรกิจผู้นั้น เขาก็เผลอทำเจ้าปากกาตกที่พื้น โดยไม่สนใจเก็บเช่นกัน ในตอนเย็นน้องชายของนักธุรกิจผู้นั้น เขามีอาชีพเป็นนักวาดภาพ ได้มาเจอเจ้าดินสอไม้ และปากกาหล่นบนพื้นทั้งคู่ เขาก็เก็บมันไปใช้มาถึงตอนนี้ทุกท่านที่อ่านคงเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไร ใช่แล้ว เจ้าดินสอไม้ที่ไม่เคยได้รับการเอาใจใส่จากเจ้านายนักธุรกิจ กลับมีคุณค่ากับเจ้านายนักวาดภาพมันถูกใช้งานจนตัวมันสูญสลายไป แต่กลับได้ภาพที่สวยงาม ยังคงคุณค่าให้ผู้พบเห็นได้ชื่นชม ซึ่งมันมีองค์ประกอบในภาพนั้น ส่วนเจ้าปากกาหลังจากที่ถูกนักวาดภาพเก็บไป มันก็อยู่แต่ในกล่องไม่เคยถูกหยิบมาใช้งานอีกเลย จนหมึกมันแข็งใช้งานไม่ได้ พอจะถูกใช้งานอีกที มันก็หมดอายุ เขียนไม่ออก แต่ตัวมันไม่สูญสลายไป ยังคงทิ้งร่างกายเอาไว้เป็นภาระต่อเจ้านาย มันจึงถูกทิ้งในถังขยะต่อไปเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ตัวเราย่อมมีคุณค่าเสมอ แต่ต้องให้ถูกกับงาน

เตือนวัยรุ่นรักด้วยสมอง

ว.วชิรเมธี เตือนวัยรุ่นรักด้วยสมอง
มีให้เลือก 4 แบบ กลัวตาย-ใคร่-เมตตา-ให้
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตยาลัย เตือนเด็กและเยาวชนในวันวาเลนไทน์ว่า ความรักเป็นได้ทั้งความสุขและความทุกข์ เป็นทั้งความหวังและสิ้นหวัง เป็นทั้งอนาคตและมืดมิด ถ้ารักด้วยสมองความรักจะนำสิ่งดี ๆ มาให้ ถ้ารักจนขึ้นสมอง ความรักจะนำสิ่งเลวร้ายมาให้แก่เรา
ดังนั้น ความรักจะเป็นสิ่งที่ล้ำเลิศหรือความทุกข์ตรมขึ้นอยู่กับว่ารักด้วยสมอง หรือรักแบบขึ้นสมอง และต้องไม่ยึดติดว่าความรักมีเพียงมิติเดียว คือความรักเชิงชู้สาวเท่านั้น แต่ความรักมีหลายมิติ เปรียบเสมือนบันไดต้องเดินขึ้นไปทีละขั้น จนถึงความหมายของความรัก นั่นคือความสุข ถ้ารักแล้วมีความทุกข์พัฒนาการของความรักยังไม่สมบูรณ์
สำหรับความรักมี 4 แบบ คือ 1. รักตัวกลัวตาย รักชนิดนี้ถ้ามีมาก ๆ จะทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว 2. รักใคร่ปรารถนา อิงกับสัญชาติญาณการสืบพันธุ์ ความรักชนิดนี้จะทำให้เกิดความลุ่มหลง กามารมณ์ หนุ่มสาวจะยึดความรักชนิดนี้เป็นที่พึ่งของชีวิต ยึดติดความใคร่มาใช้ในนามของความรัก จนกลายเป็นความโลภ คือ อยากจะครอบครองใครสักคนให้อยู่ในความควบคุมของเรา พอควบคุมไม่ได้ความรักก็กลายเป็นความร้ายเป็นโศกนาฏกรรม เช่น ทำร้ายคนรัก เผยแพร่คลิปคนรัก สาดน้ำกรดคนรัก เป็นต้น 3.รักเมตตาอารี ให้เห็นคนทั้งโลกว่าเป็นมิตรแก่เรา และ 4.รักมีแต่ให้ คือเป็นผู้ให้ รักปัญญาชนไม่คิดจะทำร้ายใคร ไม่หวังผล และพัฒนาจนปลายทางของความรักแท้
ทั้งนี้ เนื่องในวันวาเลนไทน์ ขอให้เยาวชนคนไทยทั้งหลายยึดความรักที่ถูกที่ควร เป็นแนวทางปฏิบัติ ไม่ใช่ไปจมติดกับความรัก
.............


บัว ๔ เหล่า ได้แก่๑.พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที (อุคฆฏิตัญญู) ๒.พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปัจจิตัญญู) ๓.พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอยด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ) ๔.พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน (ปทปรมะ)

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

แด่เรือจ้าง

การเป็นเรือจ้างที่ดีจะต้องเตรียมพร้อมคอยดูแลเรือและพายให้เรียบร้อย มีรอยรั่ว รอบร้าวบริเวณใดต้องรีบอุด ปะ เอาชันยาเสียให้ทันการณ์ เด็ก ต่าง ๆ เบียดกันรอขึ้นเรือเต็มไปหมด เราพยายามเทียบเรือเข้าไปช้า ๆ ให้สนิทแนบกับท่าเรือ ให้เขาลงด้วยความมั่นใจ เด็ก ๆ ยังต้องการความเอาใจใส่ ระมัดระวังอย่าให้เขาลื่นไถลตกน้ำไปเสียก่อน
ขณะมีเด็กอยู่เต็มลำเรือ เวลาสำคัญมาถึงเริ่มออกเรืออย่างมั่นคงและมั่นใจ เรือจ้างจะต้องรับผิดชอบชีวิตน้อย ๆ เหล่านั้นให้ปลอดภัย ขณะเขาอยู่ในเรือ จงให้ความอบอุ่น รักเขา เหมือนลูกของเรา ให้เขานั่งเรือเราด้วยความสบายใจ ไม่อึดอัดและมีความสุขเขาจะต้องกล้าคิด กล้าพูดกล้าแสดงออก ในสิ่งที่ถูกที่ควร พยายามให้เขามีความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่หวาดกลัว ต่อปัญหาและอุปสรรคทั้งปวง เพราะภายภาคหน้าเมื่อเขาถึงฝั่งแล้วเขาจะต้องเผชิญชีวิตตามลำพัง
แม้นว่าบางครั้ง บางคราว คลื่นแห่งทะเลชีวิตจะปั่นป่วน พายุจะโหมกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระแสน้ำที่เชี่ยวกราก แก่งหิน ระเกะ ระกะ เรือลำน้อยโคลงเคลงผู้พายถือท้ายเรือให้มั่น พาเด็ก ๆ ลัดเลาะหลบเลี่ยงอันตราย
แม้นบางครั้ง บางคราว จะเหนื่อยหน่ายอ่อนล้า เรี่ยวแรงท้อถอย จงอย่าได้วิตก กังวล อาศัยประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ ความเข้มแข็งอดทน และมีอุดมการณ์ จะนำพาเด็ก ๆ ถึงฝั่งอย่างปลอดภัย ถึงฝั่งแล้ว เรือจ้างอย่าเราปลาบปลื้มใจเป็นล้นพ้น ขณะเขาอยู่ในเรือของเรา เราได้อบรมสั่งสอน แนะแนวทางช่วยเหลือกระตุ้นให้เรากล้าคิด กล้าตัดสินใจ และกล้าทำ เราไม่ได้สอนให้เขาอ่อนแอ เราไม่ได้สอนสิ่งที่ไร้สาระ เราได้มอบสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เขาทั้งในปัจจุบันและในอนาคต เราจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะต้องช่วยตัวเองได้ เขาจะต้องไปดี เราไม่ต้องห้ฃ่วงเขามากนักหรอกหน้าที่ของเราคือ เรือจ้าง ไงล่ะ
ฝั่งโน้น เด็ก ๆ มารอเราอีกแล้ว
จงทำหน้าที่ของเราเถอะ เรือจ้างลำเก่า
พระราชดำรัสของในหลวง
( เก็บมาฝาก เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และสู้ต่อไปในสังคมไทยที่วุ่นวาย???? )
1. อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้
2. เมื่อมีคนเล่าว่าตัวเขามีส่วนในเหตุการณ์สำคัญอะไรก็ตาม เราไม่ต้องไปคุยทับ ปล่อยให้เขาฟุ้งไปตามสบาย
3. รู้จักฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาแบบแว่ว ๆ เท่านั้น
4. จะคิดการใด จงคิดใหญ่ ๆ เข้าไว้ แต่เติมความสนุกสนานลงไปเล็กน้อย
5. หัดทำสิ่งดี ๆ ให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัย โดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้
6. จำไว้ว่า ข่าวทุกชนิถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น
7. เวลาเล่นเกมกับเด็ก ๆ ปล่อยให้แก่ชนะไปเถิด
8. ใครจะวิจารณ์เราอย่างไรก็ช่าง อย่าเสียเวลาไปตอบโต้
9. ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ 2 แต่อย่าให้ถึง 3
10. อย่าวิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มีความสุข จงลาออกซะ
11. ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้ว อะไร ๆ มันก็ไม่สำคัญอย่างที่เราคิดแต่แรกหรอก
12. ใช้เวลาน้อย ๆ ในการคิดว่า "ใคร" เป็นคนถูก แต่ใช้เวลามากขึ้นคิดว่า "อะไร" คือสิ่งที่ถูก
13. เราไม่ได้ต่อสู้กับ "คนโหดร้าย" แต่เราต่อสู้กับ "ความโหดร้ายในตัวคน
14. คิดให้รอบคอบก่อนจะให้เพื่อนต้องมีภาระในการรักษาความลับ
15. เมื่อใครสักคนสวมกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน
16. เป็นคนถ่อมตน คนเขาทำอะไรต่ออะไร สำเร็จมามากมายแล้ว ตั้งแต่เรายังไม่เกิด
17. ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเพียงไร สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้
18. อย่าไปหวังเลยว่าชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม
19. อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นเขาเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามว่า "ตอนนี้เป็นไง" ก็บอกเขาไปเลยว่า "สบายมาก"
20. อย่าพูดว่า มีเวลาไม่พอ เพราะเวลาที่คุณมีมันก็วันละ 24 ชั่วโมง เท่า ๆ กับที่ หลุยส์ ปาสเตอร์,ไมเคิล แองแจลโล่, แม่ชีเทเรซ่า, ลีโอนาร์โด ดาร์วินชี, ทอมัส เจฟเฟอร์สัน, หรืออัลเบิร์ต ไอสไตน์ เขามีนั่นเอง
21. เป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวกลับไปดูอดีต เราจะเสียใจสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ มากกว่าเสียใจที่ทำไปแล้ว
22. ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานของตนเอง ไม่ใช่ด้วยมาตรฐานของคนอื่น
23. จริงจังและเคี่ยวเข็ญต่อตนเอง แต่อ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น
24. อย่าระดมสมอง เพราะไอเดียดี ๆ ใหม่ ๆ และยิ่งใหญ่จนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ ล้วนมาจากบุคคลที่คิดค้นอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น
25. คงไว้ซึ่งความเป็นคนเปิดเผย อ่อนโยนและอยากรู้อยากเห็น
26. ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเลี้ยงชีพ ไม่ว่างานที่เขาทำนั้น จะกระจอกงอกง่อยสักปานใด
27. คำนึงถึงการมีชีวิตให้ "กว้างขวาง" มากกว่าการมีชีวิตให้ "ยืนยาว"
28. มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ
29. หยุดเพื่ออ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งอยู่ริมทางเสียบ้าง